รีวิว FORD RANGER 2.0L RAPTOR BI-TURBO 4WD สุดยอดกระบะออฟโรดสมรรถนะสูง

FORD RANGER 2.0L RAPTOR BI-TURBO 4WD คือรถกระบะที่ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ที่รักการขับขี่แบบออฟโรดโดยเฉพาะ ด้วยการพัฒนาภายใต้ทีม Ford Performance ทำให้รุ่นนี้ไม่ได้เป็นเพียงกระบะธรรมดา แต่คือ “กระบะสมรรถนะสูง” (High-Performance Pickup) ที่มาพร้อมขุมพลังแรง ช่วงล่างพิเศษ และดีไซน์สุดดุดันที่แตกต่างจาก Ford Ranger รุ่นมาตรฐานอย่างชัดเจน


ดีไซน์ภายนอก (Exterior Design)

ดีไซน์ของ Ranger Raptor สื่อถึงความแข็งแกร่งและบึกบึน

  • กระจังหน้าแบบ FORD Block Letter ขนาดใหญ่ เอกลักษณ์ของรุ่น Raptor
  • กันชนหน้าออกแบบพิเศษพร้อมแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถ
  • ขยายโป่งล้อเพิ่มความบึกบึน รองรับล้อและยางออฟโรด
  • ยาง All-Terrain ขนาดใหญ่ 285/70 R17 พร้อมล้ออัลลอย 17 นิ้ว
  • ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 283 มิลลิเมตร
  • มุมไต่ (Approach Angle) 32.5 องศา และมุมจาก (Departure Angle) 24 องศา

การออกแบบโดยรวมทำให้ Ranger Raptor ดูดุดัน แข็งแรง และพร้อมลุยในทุกสภาพเส้นทาง


ดีไซน์ภายใน (Interior Design)

แม้จะเป็นรถสายลุย แต่ภายในยังคงความสปอร์ตและพรีเมียม

  • เบาะหนังแท้ผสม Alcantara ทรงสปอร์ต นั่งกระชับและรองรับสรีระ
  • พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมตำแหน่ง Center Mark สีแดงแบบรถแข่ง
  • หน้าจอแสดงผลดิจิทัลพร้อมจอสัมผัส SYNC 3 ขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
  • ระบบเครื่องเสียงคุณภาพสูง 6 ลำโพง
  • ช่องเก็บของและพื้นที่โดยสารกว้างขวาง รองรับทั้งการเดินทางไกลและการใช้งานสมบุกสมบัน

สมรรถนะเครื่องยนต์ (Engine Performance)

หัวใจหลักของ FORD RANGER RAPTOR 2.0L BI-TURBO 4WD คือเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่

  • เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร Bi-Turbo
  • กำลังสูงสุด 213 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที
  • แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750–2,000 รอบ/นาที
  • เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด (10-Speed Automatic Transmission)
  • ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) พร้อมโหมดการขับขี่ออฟโรด Terrain Management System

เครื่องยนต์ Bi-Turbo ให้การตอบสนองที่รวดเร็ว แรงบิดมหาศาล ช่วยให้ขับผ่านทุกอุปสรรคได้อย่างมั่นใจ


ช่วงล่างและระบบกันสะเทือน (Suspension & Handling)

หนึ่งในไฮไลท์ของ Ranger Raptor คือระบบช่วงล่างที่พัฒนามาเพื่อการลุยโดยเฉพาะ

  • ช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนกคู่ (Double Wishbone)
  • ช่วงล่างหลังแบบ Watt’s Link พร้อมคอยล์สปริง
  • โช้กอัพ FOX Racing Shox แบบ Position Sensitive Damping ให้สมรรถนะการซับแรงกระแทกเหนือชั้น
  • โหมดการขับขี่ Baja Mode สำหรับการขับแบบแรลลี่ออฟโรดความเร็วสูง

ทำให้รถรุ่นนี้ขับได้อย่างนุ่มนวลในเมือง และพร้อมซับแรงสะเทือนหนักหน่วงเมื่อลงทางออฟโรดจริง


ระบบความปลอดภัย (Safety Features)

Ranger Raptor มาพร้อมระบบความปลอดภัยเต็มคัน

  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลม
  • ระบบเบรก ABS, EBD, Brake Assist
  • ระบบควบคุมการทรงตัว (ESC) และป้องกันล้อหมุนฟรี (TCS)
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HLA) และควบคุมความเร็วขณะลงเขา (HDC)
  • โครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ High Strength Steel

ความสะดวกสบายและเทคโนโลยี (Convenience & Tech)

  • ระบบกุญแจสมาร์ทคีย์และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone
  • กล้องมองหลังและเซ็นเซอร์รอบคัน
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)
  • พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า (EPAS)

ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา (Maintenance Cost)

แม้จะเป็นรถสมรรถนะสูง แต่ Ranger Raptor ก็มีการบำรุงรักษาที่ไม่ซับซ้อน

  • ศูนย์บริการ Ford ครอบคลุมทั่วประเทศ
  • อะไหล่มีคุณภาพสูงและทนทาน
  • ระยะการเข้าบริการตามมาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

เหมาะกับใคร (Target Users)

FORD RANGER 2.0L RAPTOR BI-TURBO 4WD เหมาะกับผู้ที่ต้องการ:

  • รถกระบะสมรรถนะสูงสำหรับการลุยออฟโรดเต็มรูปแบบ
  • ความแรงและความทนทานในการใช้งานหนัก
  • รถที่ผสมผสานความสปอร์ตและความหรูหรา
  • ผู้ที่รักการขับขี่สไตล์ผจญภัย ไม่ใช่เพียงการใช้งานในเมือง

ข้อดีและข้อเสียของ FORD RANGER RAPTOR 2.0 BI-TURBO 4WD

ข้อดี

  • เครื่องยนต์ Bi-Turbo แรงบิดสูง ขับสนุก
  • ช่วงล่าง FOX Racing Shox เหมาะกับการลุยออฟโรด
  • ดีไซน์แข็งแกร่ง ดุดัน แตกต่างจากกระบะทั่วไป
  • เทคโนโลยีความปลอดภัยครบครัน
  • โหมด Baja เพิ่มความมันส์ในการขับขี่

ข้อเสีย

  • ราคาสูงกว่ากระบะทั่วไป
  • อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่ารถกระบะรุ่นปกติ
  • ขนาดตัวถังใหญ่ อาจไม่คล่องตัวในเมือง

บทสรุป

FORD RANGER 2.0L RAPTOR BI-TURBO 4WD ไม่ใช่เพียงกระบะสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่คือรถที่ถูกสร้างมาเพื่อการผจญภัยและการขับขี่แบบสมบุกสมบันอย่างแท้จริง สมรรถนะเครื่องยนต์ทรงพลัง ช่วงล่างที่เหนือชั้น และดีไซน์ที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่ง ทำให้รุ่นนี้เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของสายออฟโรดที่ต้องการ “กระบะพันธุ์ดุ” ที่แตกต่างจากใครบนท้องถนน